Bang-Pan-Pun-Ya: Weaving Dreams for Children

CDG Admin
15-07-2013

Because building a strong educational foundation for Thai youths—as they are the future of our nation—is the path to sustainable development.

For over 45 years, the CDG Group has not only committed itself to providing the best IT solutions and services, but also to sharing knowledge and experience with society. The group has therefore initiated “The Wisdom of Sharing,” a project that constantly organizes activities with social benefits.

“We’ve been organizing the Second-Hand Computer Project since 2005 to donate second-hand computers to needy schools with underprivileged children in rural areas, offering them the opportunity to receive education on par with students in urban areas and garner benefits from the internet. So far, over 20,000 students from more than 90 schools across the country have benefited from this project,”said Nart Liewcharoen, CEO of CDG Group and G-ABLE Group.

The corporate culture of the CDG Group has shaped and encouraged a volunteer spirit within the organization, regularly allowing the employees to take part in social activities, including the monthly donations of books and school equipment to needy schools for the benefit of children’s education and the opportunities for new employees to take part in social activities from day one at CDG.

Bang-Pan-Pun-Ya is an educational project that promotes learning among Thai children as they are the future of our nation.

The uniqueness of this activity is the continuity of the project. The team from CDG will regularly hold meetings with schools in order to learn about their needs and then conceive a tailored plan for each school so that their needs can be truly met.

Wat Khlong Phum School is a school under the supervision of the Bangkok Metropolitan Administration and is where the CDG Group carried out the Bang-Pan-Pun-Ya project for five months (February-June 2013). From what the team gathered, the school lacked several key elements to good education including educational books and a library that had a good reading atmosphere. What prompted the team to carry out the project was the fact that the children there did not love to read, yet.

The information the team had collected was used to conceive a long-term plan, beginning with improving the appearance and facilities of the school’s library and filling bookshelves with over 1,000 academic schools donated by the employees. The team also shared knowledge in basic library management with the teachers so that they could further develop the library to promote reading and learning.

We believe that reading is the foundation for wisdom that can create opportunities and realize dreams.

We further promoted learning by initiating the “Rak-Aarn, Rak-Nang-sue” (Love Reading, Love Your Books) activity, a reading competition and the “Ban-na-rak-noi” (My Dream Library) painting contest. Winners had the opportunity to visit KidZania Bangkok, an indoor theme park where children have a role play and perform jobs. Joining the students were kids from the Mahamek Home for Boys. It was a great opportunity for the CDG Group to really help needy children to fulfill their dreams.

From a small beginning, our sharing activities have become a model for the realization of many other dreams.

The CDG Group now has a plan to further the Bang-Pan-Pun-Ya activity at Wat Pariwas School by upgrading the library’s searching and borrowing and returning systems to international standards. According to the team’s survey, the school still lacks such systems, thus hindering the students’ learning opportunities. It will be a good opportunity for the company to come in and help close the gap in children’s education.

With every step we take, the CDG Group is committed to sharing knowledge and experience with society as we realize that the youths are a valuable resource for the development of the country. Grooming the children to be quality, eager-to-learn students is the starting point for them to become valuable citizens in society so that they can use their knowledge and aptitude to develop the country for sustainable growth in the future.

 

NEWS & EVENTS

กลุ่มบริษัทซีดีจี คว้า 2 รางวัลจากเวที Future Trends Awards 2025 ที่สุดของนวัตกรรมเพื่อสังคม และทรานส์ฟอร์มสู่องค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่

กลุ่มบริษัทซีดีจี รับ 2 รางวัลจากงาน Future Trends Awards 2025 ได้แก่รางวัล The Most Innovative หรือองค์กรที่สุดด้านนวัตกรรม และรางวัล The Most Attractive Employer หรือรางวัลองค์กรที่ดึงดูดนักศึกษาอายุระหว่าง 18 – 22 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสังคม และพร้อมปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถมาร่วมผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่สังคมร่วมกัน   นายปริญญา ผลพฤกษสกุล ประธานบริษัท ซีดีจี ซิสเต็มส์ จำกัด ตัวแทนกลุ่มบริษัทซีดีจี กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 56 ปี เรา มุ่งมั่นพัฒนาและปรับตัวให้ก้าวล้ำนำหน้าทุกการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีที่มีประโยชน์สูงสุดมายกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เรามุ่งสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่แข็งแกร่งผ่านบทบาทสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ผสานเทคโนโลยี AI IoT และ Cloud 2) การเสริมสร้างบุคลากรและส่งเสริมการศึกษาด้านไอทีเพื่อโอกาสในอนาคต 3) การยกระดับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ยกระดับการทำงานทุกภาคส่วน ด้วยแนวทางเหล่านี้ เราไม่ได้เพียงสร้างนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่ยังมุ่งเน้นสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป   สำหรับรางวัล The Most Innovative ได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่มุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงถึงการให้คุณค่ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ผ่านโซลูชันที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบตรวจสอบลายนิ้วมืออาชญากรรม หรือ AFIS เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการสืบสวน และข้อมูลผู้กระทำความผิด นวัตกรรมการประเมินราคาที่ดินอย่างโปร่งใส และแม่นยำด้วย GIS เทคโนโลยี รวมถึงโซลูชันการบริหาร จัดการข้อมูลด้านพลังงานหมุนเวียน จากแหล่งพลังงานสะอาด เพื่อการตัดสินใจด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพขึ้น เป็นต้น ในส่วนของรางวัล The Most Attractive Employer (อายุ 18 – 22 ปี) ได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรที่ดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วยวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสในการเติบโต ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ที่เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมโซลูชันที่ยกระดับสังคมได้อย่างแตกต่าง รวมถึงแผนการพัฒนาทักษะรอบด้านที่ชัดเจน ตั้งแต่การฝึกอบรมเฉพาะทางไปจนถึงการเข้าร่วมโปรเจกต์สำคัญ ๆ ของประเทศ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ต่อยอดสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Leadership) ยกระดับอุตสาหกรรมไอทีของประเทศไทย   “ที่ผ่านมา เราตระหนักดีถึงบทบาทสำคัญของคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กรต่อไป เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ และรับมือกับความท้าทายในอนาคต และสามารถพาเราสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ ซึ่งรางวัลนี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและพัฒนาศักยภาพที่รอบด้าน สร้างประสบการณ์การทำงานที่ยอดเยี่ยม พร้อมผลักดันให้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่สังคม เพราะด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างองค์กรแห่งโอกาสและความยั่งยืน เราจึงมุ่งมั่นส่งเสริมพนักงานให้กล้าคิด กล้าทำ เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดจากสิ่งที่องค์กรสร้างขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่คือการที่องค์กรช่วยผลักดันให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน พร้อมสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป” นาย ปริญญา กล่าวเสริม   รางวัลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นต้นแบบขององค์กรแห่งอนาคต ที่ไม่เพียงแค่สร้างนวัตกรรมที่ทันสมัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกมิติ แต่ยังเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้สร้างความเปลี่ยนแปลงจริง ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่น สนับสนุนการเติบโตของพนักงาน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน กลุ่มบริษัทซีดีจี จึงมุ่งหน้าปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์ใหม่ ๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี สังคม รูปแบบการทำงาน เพื่อ Making the Impossible, Possible และเป็นผู้นำด้านการให้บริการโซลูชันและเทคโนโลยีในประเทศไทยอย่างแท้จริง

ก้าวสู่ความสำเร็จระดับสากล CDT จับมือ National Centre for Information Technology (NCIT) Maldives ยกระดับระบบทะเบียนราษฎร์ และบัตรประจำตัวประชาชน สู่ระบบดิจิทัลให้มัลดีฟส์

คอนโทรล ดาต้า นำโดย คุณนาถ ลิ่วเจริญ ได้ร่วมเซ็นสัญญากับรัฐบาลมัลดีฟส์ ภายใต้โครงการ Digital Maldives for Adaptation, Decentralization and Diversification (D’MADD) เพื่อรีวิว ออกแบบ และพัฒนาข้อกำหนดโครงการจัดทำระบบทะเบียนราษฎร์ สถิติ และการระบุตัวตน (The Civil Registration, Vital Statistic and Identity Management System: CRVSID) ของมัลดีฟส์ ให้ข้อมูลมีความถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย สามารถให้บริการประชาชนได้รวดเร็วและสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ D’MADD Phase 2: “Digital Identification for Improved, Online and In-Person Service Delivery” นับเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนระบบดิจิทัลภาครัฐระดับสากล ตอกย้ำการทำงานเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

โครงการ Code Seeder ปลื้มผลงาน สร้างครูพันธุ์ใหม่ 100 คน ช่วยถ่ายทอดความรู้ Coding ทั่วประเทศ ปลูกฝันเด็กไทยสู่อนาคต

มูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคม (Wisdom for Society Foundation) ปลื้มความสำเร็จโครงการ “Code Seeder ปลูกฝันเด็กไทยสู่อนาคต” ส่งครูพันธุ์ใหม่ 100 คน ผ่านการฝึกอบรมวิชา Coding และ Scratch ส่งต่อความรู้ไปสู่เด็กนักเรียนกว่า 7,000 คนทั่วประเทศ หวังต่อยอดทางการศึกษา ขยายผลเชิงบวกต่อสายงาน STEM ต่อยอดทักษะสำหรับอนาคตแก่เยาวชนพร้อมก้าวทันการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่ นายนาถ ลิ่วเจริญ ประธานมูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคม (Wisdom for Society Foundation) เปิดเผยว่า “นับตั้งแต่การเริ่มต้นโครงการ ‘Code Seeder สร้างครูพันธุ์ใหม่ ปลูกฝันเด็กไทยสู่อนาคต’ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้อบรมครูผู้สอนวิชา Computing Science กว่า 100 คน และส่งต่อความรู้ไปยังนักเรียนกว่า 7,000 คนทั่วประเทศ ถือเป็นการวางเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา (Seed of Wisdom) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของพวกเขา และต่อสังคมเรา โดยเน้นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดเชิงคำนวณ วิธีการคิดอย่างเป็นระบบ และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญให้เยาวชนไทยพร้อมสำหรับอาชีพในสาขา STEM ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และงานในคลาวด์คอมพิวติ้ง โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่การอบรม แต่คือการสร้างการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล เพื่อให้เด็กไทยมีโอกาสเข้าถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีและร่วมสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคมไทยของเรา” จากข้อมูลของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา พ.ศ. 2564 พบว่าครูผู้สอนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการถ่ายทอดวิชา Coding ไปสู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ขาดสื่อการสอนที่เหมาะสม และเครือข่ายสนับสนุนที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนและเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ส่งผลให้ผู้เรียนขาดความเข้าใจในเนื้อหาที่นำไปใช้ได้จริง มูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคม (Wisdom for Society Foundation จึงได้จัดกิจกรรมอบรมพัฒนาทักษะด้าน Coding ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 โดยเน้นอบรมครูผู้สอนวิชา Computing Science ในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 กว่า 100 คนจาก 20 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และอยุธยา ผ่านหลักสูตรมาตรฐานสากล ครอบคลุมเนื้อหา Coding และ Scratch เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย มีประสิทธิภาพ และช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะและการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน โดยการวางรากฐานการสอนที่ยั่งยืนเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้แก่เด็กไทย” นับตั้งแต่ปี 2565 โครงการ “Code Seeder” ได้พิสูจน์ความสำเร็จในการถ่ายทอดความรู้ด้าน Coding สู่เยาวชนไทย โดยมีนักเรียนกว่า 700 คนทั่วประเทศที่ได้รับโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต ล่าสุดในปีนี้ โครงการยังได้จัดการแข่งขันประชันไอเดียจาก 20 โรงเรียนทั่วประเทศ เปิดเวทีให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 นำเสนอผลงานการพัฒนาเกมที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง ผู้ชนะเลิศระดับ ป.4 ได้แก่ นักเรียนจากโรงเรียนวัดหอมเกร็ด จังหวัดนครปฐม และระดับ ม.1 ได้แก่ นักเรียนจากโรงเรียนปรีดารามวิทยาคม จังหวัดนครปฐม โครงการนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า “Code Seeder” คือกระบวนการที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์เชิงบวกจริงในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจุดประกายแรงบันดาลใจไปจนถึงการพัฒนาหลักสูตรการสอนและการอบรมที่มีมาตรฐาน ทำให้ครูและนักเรียนมีทักษะในการเขียนโค้ดที่นำไปใช้ได้จริงและเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ทั้งในห้องเรียนและการแข่งขัน นำไปสู่การเสริมสร้างความพร้อมของเยาวชนไทยในการก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นใจและมีคุณภาพ “ความคืบหน้าข้างต้นเกิดขึ้นจากการที่เราปรับวิธีคิดที่มีแกนหลัก 3 ประการ” 1) พัฒนาศักยภาพครู เพิ่มทักษะการสอน Coding เพื่อวางรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง 2) ปลูกฝังทักษะ Coding ให้เยาวชน ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญสู่เส้นทางอาชีพสาย STEM และ 3) มุ่งขยายโครงการต่อเนื่อง เพิ่มหลักสูตรและจำนวนครูเพื่อให้เยาวชนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแต่ยกระดับครู แต่ยังเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่นักเรียน ปลูกฝัง Coding เพื่ออนาคตที่มั่นคงในสาย STEM พร้อมวางแผนต่อยอดโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยต่อไป” นายนาถกล่าวปิดท้าย   มูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคม (Wisdom for Society Foundation) มูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคม (Wisdom for Society Foundation) ภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา ด้านการเขียนโปรแกรมและการพัฒนาเทคโนโลยี รวมไปถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้กลุ่มบริษัทซีดีจี ได้จัดตั้งมูลนิธิภูมิปัญญาเพื่อสังคมตั้งแต่ปี 2565 สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความร่วมมือด้านการเขียนโปรแกรม ระหว่างสถาบันการศึกษากับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริม สร้างความตระหนักรู้ และปลูกฝังความสนใจ ความรักในด้านการเขียนโปรแกรม  การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนการศึกษาด้านต่างๆ แก่เยาวชน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปที่สนใจ ตลอดจนแบ่งปันองค์ความรู้  ทักษะ ประสบการณ์ สร้างบุคลากรที่มีความรู้และทักษะในด้านต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อพัฒนาสังคมและประเทศไทย

ESRI Thailand โชว์ฟีเจอร์ GIS รับมือวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ร่วมกับสภาลมหายใจกรุงเทพฯ เปิดตัวแอปฯ แสดงผลดัชนีฝุ่นแบบเรียลไทม์ พร้อมพยากรณ์ล่วงหน้า 7 วัน

บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้าน Location Intelligence พัฒนาโซลูชันเพื่อความยั่งยืน ตั้งเป้าดันเทคโนโลยี GIS ขึ้นแท่นฮับหลักในการบูรณาการข้อมูล และรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นร่วมกับ สภาลมหายใจกรุงเทพฯ โชว์แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ประยุกต์ใช้จาก GIS แสดงผลดัชนีจุดความร้อนและค่าการระบายฝุ่นแบบเรียลไทม พร้อมพยากรณ์ล่วงหน้าได้ 7 วัน หนุนการป้องกันและรับมือปัญหา Climate Change อย่างยั่งยืน บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาแพลตฟอร์ม Location Intelligence จับมือร่วมกับสภาลมหายใจกรุงเทพฯ (Breathe Bangkok) เปิดตัวแอปพลิเคชัน “เตะฝุ่น” นวัตกรรมอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี GIS ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพอากาศทั่วประเทศ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้อย่างตรงจุด ในการวิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลฝุ่น PM2.5 โดยตรง พร้อมติดตามสถานะการระบายฝุ่น และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จุดความร้อน (Hotspot) และดัชนีการระบายอากาศแบบเรียลไทม์ รวมถึงคาดการณ์ค่าการระบายอากาศและจุดเผาไหม้ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน โดยนำเสนอในรูปแบบแผนที่ดิจิทัลผ่านเว็บไซต์ www.taefoon.com ซึ่งช่วยให้ประชาชนทั่วไปและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ช่วยยกระดับการติดตามและจัดการปัญหาฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์การบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายของบริษัทว่า “Esri มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี GIS เพื่อเป็นต้นแบบการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับสภาลมหายใจกรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง โดยโซลูชันนี้ช่วยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม อาทิ การเกษตรและการผลิต สามารถวิเคราะห์และจัดการการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสะสมในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ ธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น เช่น การท่องเที่ยว ยังสามารถใช้ข้อมูล เพื่อวางแผนลดความเสี่ยง และสร้างความพร้อมในการให้บริการอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันภาคประชาชน สามารถติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์และเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพ Esri มุ่งมั่นเสริมสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร พร้อมตอบโจทย์ ความต้องการใช้งานจริง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรและเป้าหมายของสังคมในทุกมิติอย่างแท้จริง” นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ  กล่าวเสริมว่า “สภาลมหายใจกรุงเทพฯ มุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักรู้และให้ข้อมูลแก่ภาคประชาสังคมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด โดยเราเข้าใจดีว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งขึ้นอยู่กับการเผาไหม้และความสามารถของบรรยากาศในการระบายฝุ่น เป็นปัญหาที่ต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม แอปพลิเคชัน ‘เตะฝุ่น’ ที่พัฒนาร่วมกับ Esri Thailand ช่วยให้เราสามารถติดตามอัตราการระบายอากาศในแต่ละพื้นที่และพยากรณ์ล่วงหน้าได้ ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยี GIS จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและลดผลกระทบจากมลพิษได้อย่างเหมาะสม เราพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนผ่านโครงการ ‘เคาท์ดาวน์ PM2.5’ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหามลพิษอย่างเป็นรูปธรรม และมุ่งมั่นที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอากาศสะอาด น่าอยู่ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนทุกคน” แอปพลิเคชัน “เตะฝุ่น” เป็นผลจากการบูรณาการข้อมูลสภาพอากาศและฝุ่น PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถแสดงข้อมูล เช่น ความเข้มข้นของฝุ่น อัตราระบายอากาศ (Ventilation Rate) และจุดความร้อนในรูปแบบแผนที่ดิจิทัล (Map Visualization) ที่ทั้งแม่นยำและเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถวางแผนรับมือกับมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกระดับการกำกับดูแลใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม: ลดการกระจุกตัวของการเผาไหม้ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากมลพิษที่สูงเกินมาตรฐาน ด้านสังคม: ส่งเสริมการวางแผนการเผาไหม้อย่างเหมาะสม ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และช่วยให้ชุมชนสามารถติดตามและเตรียมตัวรับมือกับปัญหาฝุ่นได้ดีขึ้น ด้านการบริหารจัดการ: ข้อมูลที่เข้าถึงได้อย่างโปร่งใสส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทำให้การจัดการคุณภาพอากาศเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ “แอปพลิเคชัน ‘เตะฝุ่น’ ถือเป็นก้าวสำคัญของ Esri ในการขยายศักยภาพการใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อประโยชน์ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยโครงการนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศได้ง่าย ๆ ช่วยให้พวกเขาเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากมลพิษต่อสุขภาพ เราหวังว่าโครงการนี้จะสามารถขยายผลร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ที่มุ่งมั่นสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคที่ก้าวหน้า เพื่อสังคมที่มีอากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน” ดร. ธนพร กล่าวปิดท้าย สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.esrith.com และ http://www.taefoon.com/ __________________________________________________________________________________________ เกี่ยวกับ บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำด้าน Location Intelligence และเป็นตัวแทนหลักในการจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการของผลิตภัณฑ์ภูมิสารสนเทศชั้นนำจาก Esri Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งภายในประเทศไทยและรวมถึงประเทศในกลุ่ม CLM อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) มีความเชี่ยวชาญและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) สำหรับภาคธุรกิจ ภาครัฐบาล กองทัพ และภาคการศึกษา พร้อมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.esrith.com ______________________________________________________________________________________________  

ซีดีจี กรุ๊ป คว้า 2 รางวัลด้านเทคโนโลยีระดับโลกจาก ‘International Finance Awards’ ขับเคลื่อนโซลูชันเพื่อสังคม ตอบโจทย์ภาครัฐ และเอกชนครบวงจร

ซีดีจี กรุ๊ป คว้า 2 รางวัลจากเวทีนานาชาติ “International Finance Awards 2024” ตอกย้ำผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสังคมตัวจริง ได้แก่ รางวัล Most Innovative IT Consulting & Solutions Company for e-Government & Public Administration บุกเบิกนวัตกรรมดิจิทัลที่ยกระดับการทำงานบริการประชาชนของภาครัฐด้วยแพลตฟอร์ม FlowSoft e-Office และรางวัล Most Innovative New Transportation Management Platform พลิกโฉมนวัตกรรมการขนส่งด้วย แพลตฟอร์มบริหารจัดการงานขนส่งอัจฉริยะ ‘NOSTRA LOGISTICS TMS’ สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมและสร้างมุ่งสร้างสังคมที่ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี   นายนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร (Chief Executive Officer) กลุ่มบริษัท ซีดีจี กล่าวว่า “การที่ CDG Group ได้รับรางวัล Most Innovative IT Consulting & Solutions Company for e-Government & Public Administration และ Most Innovative New Transportation Management Platform จากงาน International Finance Awards 2024 เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของพวกเราชาวซีดีจี รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันและเทคโนโลยีที่มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่าในทุกมิติ สร้างคุณค่าให้กับสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมดิจิทัล เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย”   สำหรับรางวัล Most Innovative IT Consulting & Solutions Company for e-Government & Public Administration ที่คิดค้นและพัฒนาโดย บริษัท ซีดีจี ซิสเต็มส์ จำกัด หรือ CDGS Systems ภายใต้กลุ่มบริษัทซีดีจี ได้รับนั้น เป็นการนำระบบ FlowSoft e-Office Platform ซึ่งเป็น ระบบบริหารสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยระบบดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดการใช้กระดาษ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และรวดเร็ว ตอบสนองต่อการให้บริการประชาชนในยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มที่   ขณะเดียวกัน NOSTRA LOGISTICS ผู้ให้บริการโซลูชัน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการขนส่งอัจฉริยะ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการการขนส่ง ได้รับรางวัล Most Innovative New Transportation Management Platform ด้วยคุณสมบัติที่สามารถบริหารจัดการทุกกิจกรรมการขนส่งในระบบเดียว โดยแพลตฟอร์มนี้สามารถจัดการการขนส่งในโลจิสติกส์ซัพพลายเชนแบบครบวงจร ผ่านเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น GIS, AI, Telematics และ IoT ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน แต่ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ (Seamless Integration) กับระบบ IT อื่นๆ ภายในองค์กรให้การทำงานสะดวกรวดเร็วแบบ Digitalization   รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยนิตยสารชั้นนำระดับโลก International Finance Awards ซึ่งมุ่งยกย่ององค์กรและผู้บริหารที่มีความเป็นเลิศในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ผ่านการพิจารณาจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงเทคโนโลยี โดยพิจารณาจากความสำเร็จที่โดดเด่นและผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่สร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การได้รับรางวัลในครั้งนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทซีดีจี ในการเป็น “ผู้ให้บริการโซลูชันและเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย” พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับทุกภาคส่วนในสังคมไทยและระดับสากลอย่างแท้จริง

Esri Thailand เตรียมโชว์ไฮไลท์เด็ดจากเทคโนโลยี GIS หนุนนวัตกรรมด้านโลเคชัน ขับเคลื่อนองค์กรเติบโตยั่งยืนร่วมกัน ในงาน TUC 15 ส.ค. นี้

Esri Thailand เตรียมอัปเดตเทคโนโลยี GIS ครั้งใหญ่กับงาน Thai GIS User Conference 2024 (TUC 2024) ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ภายใต้ธีม ‘GIS – Uniting Our World’ ชูการนำเทคโนโลยี GIS เปลี่ยนความซับซ้อนของข้อมูลเชิงพื้นที่ให้เป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้ พร้อมดันนวัตกรรมด้านโลเคชั่นขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการ เชื่อมโยงให้ทุกภาคส่วนพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านภัยพิบัติ สภาพภูมิอากาศ การจัดการทรัพยากร และการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมอัพเดทฟีเจอร์ ArcGIS สุดล้ำที่ตอบโจทย์หลายธุรกิจ มั่นใจสร้างจุดแข็ง และขับเคลื่อนองค์กรเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธาน บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Esri Thailand มุ่งหวังที่จะนำเทรนด์เทคโนโลยี GIS ที่อัพเดทจากงาน User Conference 2024 หรือ UC 2024 งานสัมมนาด้านเทคโนโลยี GIS ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจัดโดย Esri สหรัฐอเมริกา เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มาปรับใช้ในประเทศไทย โดยงานในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ จะเปิดตัวเทคโนโลยี GIS สุดล้ำที่จะมายกระดับการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากร และการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่ ภายใต้ธีม GIS – Uniting Our World’ ที่สามารถสื่อความข้อมูลหรือรายละเอียดต่าง ๆ ที่ซับซ้อน ให้เป็นภาษาหรือข้อมูลในรูปแบบที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันได้ หวังสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ พร้อมเชื่อมทุกฝ่ายสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน “ธีมนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และความตั้งใจของ นายแจ็ค เดนเจอร์มอนด์ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Esri สหรัฐอเมริกา ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี GIS ที่สามารถสร้างความเข้าใจด้วยภาษาเดียวกัน พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านภัยพิบัติ และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่จะกระทบกับทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยเราพร้อมที่จะผลักดันวิสัยทัศน์นี้ โดยใช้เทคโนโลยี GIS สร้างความร่วมมือและเพิ่มศักยภาพให้กับทุกองค์กรในการวางแผนได้อย่างรอบด้าน ด้วยจุดเด่นในการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่ง่ายในการต่อยอดใช้งานเชิงรุกในหลากหลายมิติ ตลอดจนประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับแต่ละอุตสาหกรรมได้ เช่น การวางแผนโลจิสติกส์ การหาพื้นที่ศักยภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีนี้มาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพื่อเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันของทุกฝ่าย” ดร.ธนพร กล่าวเสริม ส่วนหนึ่งจากไฮไลท์ของงานคือการนำเสนอหลากหลายโซลูชันที่ช่วยวิเคราะห์และนำเสนอภาพรวมของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในด้านของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติธรรมชาติ รวมไปถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อตอกย้ำถึงเทคโนโลยี GIS สามารถสร้างความเข้าใจ และผลึกกำลังทุกภาคส่วนพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเทคโนโลยี GeoAI ที่เป็นการผสานความสามารถของ Machine Learning และ Deep Learning เข้ากับข้อมูลเชิงพื้นที่ สามารถนำมาสร้าง AI Model สำหรับการวิเคราะห์ โดยใช้โลเคชันเป็นปัจจัยในการสร้าง Model เพื่อคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำและแก้ปัญหาได้ตรงจุด และที่สำคัญอีกหนึ่งไฮไลท์ในปีนี้คือ Generative AI Assistants ที่เข้ามาช่วยให้การทำงานบน ArcGIS ง่ายขึ้นและสะดวกมากขึ้น รวมถึง Flood Simulation ที่จำลองสถานการณ์น้ำท่วมแบบ 3 มิติ ผ่านการวิเคราะห์แบบ What-if analysis ที่สามารถสร้างสถานการณ์สมมติหลากหลายรูปแบบ ช่วยให้สามารถวางแผนรับมือปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัยที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ “ด้วยธีมดังกล่าวและโซลูชันของเราที่ขนมานำเสนอในงานวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เราเชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) ที่จะช่วยสร้างจุดแข็งการทำงานภายในองค์กร และเชื่อมโยงให้เกิดการบูรณาการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เห็นเป้าหมายพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตร่วมกัน ก็จะช่วยยกระดับทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต มอบคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมน่าอยู่ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไป” ดร.ธนพร กล่าวปิดท้าย ทั้งนี้ งานสัมมนาเชิงวิชาการระบบภูมิสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หรือ TUC 2024 ครั้งที่ 28 ภายใต้ธีม “GIS-Uniting Our World” Esri Thailand มีความยินดีที่จะส่งมอบองค์ความรู้ใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วย Keynote Speakers อย่าง คุณพงศกร ยุทธโกวิท ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึง รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต  ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์การใช้ GIS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมส่งต่อความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบภูมิสารสนเทศให้กับผู้ใช้งานในประเทศ ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 นี้ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.esrith.com/events/tuc2024/ ทั้งนี้ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ – 13 สิงหาคม 2567   สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.esrith.com __________________________________________________________________________________________ เกี่ยวกับ บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำด้าน Location Intelligence และเป็นตัวแทนหลักในการจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการของผลิตภัณฑ์ภูมิสารสนเทศชั้นนำจาก Esri Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งภายในประเทศไทยและรวมถึงประเทศในกลุ่ม CLM อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) มีความเชี่ยวชาญและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) สำหรับภาคธุรกิจ ภาครัฐบาล กองทัพ และภาคการศึกษา พร้อมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.esrith.com